วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปความรู้ที่ได้รับจากการสัมมนาเรื่อง สารสนเทศรูปแบบใหม่ ในวันที่ 24 กรกฏาคม 2554 โดยอาจารย์บุญเลิศ อรุณพิบูลย์

Crosswalk Metadata+Open Technology+Digital


Z39.50
Z39.50 เป็นมาตรฐาน ANSI/NISO เรียกว่า ANSI Z39.50 ในงานด้าน IR นั้น Z39.50 เป็น protocol ที่ใช้สำหรับ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ เพราะมันเป็นตัวอนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึง และสืบค้นสารสนเทศ (Information) ทาง Network ได้ แต่ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลได้ ซึ่งข้อแตกต่างคือข้อมูลจะเป็นข้อเท็จจริง ส่วนสารสนเทศ คือ ความรู้ที่ เป็นประโยชน์ Z39.50 เป็น softwareประเภท Application ที่ใช้ รูปแบบ Client/Server ถูกสร้างและพัฒนาโดย information providers, database providers, library automation vendors, hardware manufacturers, higher education and research  institutions และเมื่อกล่าวถึง Z39.50 แล้วเราจะเปรียบ client เป็น origin ส่วน server เป็น target ซึ่งทั้ง origin และ target สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้ โดยผ่าน Z39.50 โดยในการสร้างมันขึ้น มาจะใช้ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) เป็นตัวช่วยด้วยลักษณะของ Z39.50 ที่เป็น protocol นี้เอง ผู้ใช้จึงสามารถทำการค้นหาสารสนเทศทาง Network ได้ แม้ว่าจะไม่เคยรู้เรื่องการติดต่อด้าน Network ูแหล่งของสารสนเทศ และแม้แต่วิธีการค้นหาสารสนเทศก็ตามลักษณะของการค้นหาสารสนเทศโดยปราศจาก การติดต่อ ทาง Network และวิธีการค้นหาที่ซับซ้อน เรียกว่า interconnectivity และinteroperability ซึ่งมันทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็น ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการค้นหามากนัก และยังทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าการค้นหานี้งานไม่ยุ่งยากเลย ภายใน Z39.50 จะประกอบด้วย package ของ software ประเภท application อยู่ 2 แห่งคือที่ Client และที่ Server   
แลกเปลี่ยนรายการบรรณานุกรมระหว่าง ILS 
InnoPAC – InnoPSC – Horizon – VTLS
ความเป็นจริงในห้องเรียน โอกาสทำงานกับ ILS ยากจึงมีการพัฒนาซอฟแวร์จำลองการทำงานอย่าง Mercury z39.50 Clients เอาแค่ ISBN ของหนังสือเล่มนั้นไปใส่ จากนั้นมันจะไปทำการค้นหาบรรณานุกรมมาให้เราสมมติเรามองภาพว่า Mercury z39.50 clients คือ Catalogue Module ของระบบ InnoPAC ในห้องสมุด มช. ดังนั้นหากต้องการลงรายการบรรณานุกรมหนังสือในฐานข้อมูล เพียงแค่เราใส่เลข ISBN เข้าไปใน Mercury z39.50 จากนั้นระบบจะไปค้นหารายการบรรณานุกรมของหนังสือเล่มนั้นจากห้องสมุดทั่วโลก
ประเด็นน่าสนใจของ z39.50
1. ระบบห้องสมุดที่จัดหา/จัดซื้อ พัฒนา ไม่มีโมดูล z39.50
2.  ระบบห้องสมุดที่ใช้อยู่มีโมดูล z39.50 แต่ห้องสมุดไม่ทราบทั้งการเปิดใช้งาน การใช้งาน
3.  ห้องสมุด/บรรณารักษ์ไม่รู้จัก z39.50 มาก่อน
4.  หนังสือส่วนมากของห้องสมุดเป็นภาษาไทย ซึ่งระบบห้องสมุดที่เปิดโมดูล z39.50 ของประเทศไทยมีน้อย หรือไม่เปิดระบบให้บริการ  พยายามเลือกซื้อระบบที่เป็นระบบมาตรฐาน เช่นของ ม..วลัยลักษณ์
Z39.88, OAI – PMH, Embeded Metadata กับแลกเปลี่ยนรายการบรรณานุกรมจากห้องสมุด/ทรัพยากรสู่ Application 
การพัฒนาเว็บแยกเป็น 2 กรณี
1. ทำมือ ...สร้างหน้า .php, .html, .htm
2.  พัฒนาด้วย S/W เช่น CMS – Joomla, Drupal
ตัวอย่างทำหน้าเว็บแนะนำภาควิชา 1 หน้า จะได้ไฟล์ about.html
พิมพ์เนื้อหาแนะนำภาค 4 พารากราฟ มีรูปภาพ.jpg ประกอบ 3 ภาพ  มีลิงค์ให้ดาวน์โหลดไฟล์แนะนำภาค 2 ไฟล์ คือ  
.ppt
.pdf

เว็บที่ทำต้องให้ google search engine เก็บข้อมูลได้ ไฟล์ประกอบการทำเว็บมีไฟล์ดังนี้
1 html
3 jpg
1ppt
1 pdf

ทุกไฟล์ต้องฝัง Metadata ที่จำเป็น
1 html ฝัง Web Meta Tag
<meta name = “keywords” content = “คำค้น” />
<meta name = “authors” content  =  “หน่วยงาน / ผู้สร้างสรรค์” />
<meta name = “description” content = “คำอธิบาย” />
3 jpg ฝัง IPTC
1 ppt ฝัง Document Metadata
1 pdf ฝัง PDF Metadata

การลงรายการสื่อดิจิทัล
แล้วแต่ละชุด metadata จะลงรายการอย่างไร (มาตรฐานการลงรายการ)
ขยายทุกไฟล์ โดยเฉพาะ .html ให้รองรับมาตรฐาน z39.5 ผ่าน z39.88 เช่น
<meta name = “keywords” content = “คำค้น” />
<meta name = “authors” content  =  “หน่วยงาน / ผู้สร้างสรรค์” /> 
<meta name = “description” content = “คำอธิบาย” />

Web Meta Tag ให้ข้อมูลกับ search Engine

Web Meta Tag ให้ข้อมูลกับ search Engine
<meta name = “DC. title” content = “ชื่อเรื่อง” />
<meta name = “DC. authors” content  =  “หน่วยงาน / ผู้สร้างสรรค์” />
<meta name = “DC. description” content = “คำอธิบาย” />
<meta name = “DC. keywords” content = “คำค้น” />
<meta name = “DC. CreateDate” content = “วันที่สร้างผลงาน” />

DC Meta Tag ให้ข้อมูลบรรณานุกรมกับ Apps เช่น Reference Manager (Endnotes, Zotero, JabRef, Refwork...)ผ่านมาตรฐาน z39.88
<meta name = “citation_title” content = “” />
<meta name = “citation_authors” content = “” />
<meta name = “citation_description” content = “” />
<meta name = “citation_keywords” content = “” />
<meta name = “citation_createDate” content = “” />
<meta name = “citation_PublishDate” content = “” />
<meta name = “citation_pdf_url” content = “” />
<meta name = “citation_jourjal_title” content = “” />
<meta name = “citation_volume” content = “” />
<meta name = “citation_issue” content = “” />

Citation Meta Tag เป็นข้อมูลชุดใหม่เพื่อให้ข้อมูลบรรณานุกรมเชิงผลงานวิชาการกับ Google Scholar
<meta name = “citation_firstpage” content = “” />
<meta name = “citation_lastpage” content = “” />
การเกิดของ Citation Meta Tag เพราะปัญหาจาก OAI – PMH ที่ทำได้ยาก

Webometric Ranking
       Webometrics Ranking of World Universities หรือ "Ranking Web of World Universities" จัดทำโดย  Cybermetrics Lab หรือ Internet Lab ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยในสังกัด The Centre for Scientific Information Webometrics Ranking of World Universities หรือ "Ranking Web of World Universities" จัดทำโดย and Documentation (CINDOC) สภาวิจัยแห่งชาติ (Spanish National Research Council - CSIC) ณ กรุงแมดดริด ประเทศสเปน เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2004 มีเว็บไซต์อยู่ที่ http://www.webometrics.info นักวิจัยที่มีบทบาทสำคัญคือ Isidro F. Aguillo                                      
       การจัดลำดับโดย  Webometrics เกิดจากความเชื่อที่ว่า Web จะเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และในที่สุด Open Acess Initiatives ซึ่งเป็น web publications หรือ electronic publications และในที่สุด Open Acess Initiatives ซึ่งเป็น web publications หรือ electronic publications จะมีผลกระทบและมีการเข้าถึงได้มากกว่าสิ่งตีพิมพ์ (Publications) ชนิดใดๆ ดังนั้น Webometrics จึงเป็นการวัดปริมาณเนื้อหาที่สร้างขึ้น เน้นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผ่านทางเว็บไซต์ การปรากฎตัวบนอินเตอร์เน็ต และดูจำนวน Link จากเว็บไซต์ภายนอกทั่วโลกที่ทำ Link มายังเว็บเพจ หรือวัดผลกระทบการอ้างอิง ตามจำนวนของ link ที่ได้รับจากภายนอก (external inlinks / sitations หรือ site citations) ซึ่งจะแสดงถึง visibility และ impact ของ web publications นั้นๆ จากกนั้นทำการจัดลำดับ โดยใช้ดัชนี Web Impact Factor (WIF) ซึ่งใช้หลักการที่ดัดแปลงและประยุกต์มาจาก Journal Impact Factor (JIF) ของฐานข้อมูล Thomson's ISI Journal Citation Reports (JCR)  การประกาศผลจัดอันดับจะทำทุกเดือนมกราคม และกรกฎาคมของทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะจัดอันดับคุณภาพของสถาบันการศึกษาแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงดัชนีชี้วัดความสามารถในการผลิต web publications และความเป็น open access ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ซึ่งเป็นการวัดผลงานทางวิชาการที่เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต นอกเหนือจากการวัดด้วยดัชนีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยและการอ้างอิงผลงานวิจัย แบบที่เรารู้จักกันดี ที่เรียกว่า bibliometric indicators เท่านั้น หรือมองอีกแง่หนึ่งก็คือ วัดความสามารถในการเป็น "มหาวิทยาลัยอิเล็กทรอนิกส์ (E-university)" นั่นเอง
        วัตถุประสงค์ในการจัดทำ Ranking นี้ มีกลุ่มเป้าหมายสำคัญอยู่ที่บรรดาผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ในกรณีที่ web performance ของสถาบันการศึกษาใด ได้ลำดับที่ต่ำกว่าความคาดหมาย เมื่อเปรียบเทียบกับความเป็นเลิศทางวิชาการของสถาบันนั้นๆ ผู้จัดทำ Webometrics Ranking เสนอแนะให้ผู้บริหารของสถาบัน ทบทวนนโยบายด้านการจัดทำเว็บไซต์ของตน และสนับสนุนนโยบายด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตของสิ่งตีพิมพ์เผยแพร่ทางวิชาการ ในรูปแบบ electronic publications ให้มากยิ่งขึ้น กลุ่มเป้าหมายสำคัญรองลงมาคือ บรรดาอาจารย์ นักวิจัย ของมหาวิทยาลัย เนื่องจากคาดว่าในอนาคตผลงานทางวิชาการในลักษณะ web publications นี้ อาจมีส่วนในการประเมินผลงาน นอกเหนือจากการวัดด้วย scientometric หรือ bibliometric indicators แบบเดิม และนอกจากนั้นบรรดานักเรียน นักศึกษา อาจใช้ประกอบการพิจารณาเลือกเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยพิจารณาจากการที่มหาวิทยาลัยมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และจัดเตรียมทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ไว้อย่างเพียงพอ
       ปัจจุบัน Webometrics Ranking ได้ทำการตรวจสอบมหาวิทยาลัย (โดยดูจากชื่อ domain) จำนวน 13,074 แห่ง จากทั่วโลก เพื่อทำการจัดอันดับให้แก่มหาวิทยาลัย จำนวนทั้งสิ้น 6,000 อันดับ ทั้งนี้มี มหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทย รวมอยู่ด้วย จำนวน 78 แห่ง รายชื่อเว็บไซต์มหาวิทยาลัยทั่วโลก เป็นข้อมูลที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น
-  Universities Worldwide (รวมรายชื่อมหาวิทยาลัย มากกว่า 8,343 แห่งจาก 201ประเทศ)
-  All Universities around the World
-  BrainTrack - College & University Directory

ที่มา : http://stang.sc.mahidol.ac.th/webometrics.htm

การเพิ่ม Webometric Ranking

-  Size (S) หมายถึง จำนวนเว็บเพจ จากเว็บไซต์ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ domain เดียวกัน (เช่น .rmutp.ac.th) ที่สืบค้นได้โดย Search Engines (น้ำหนักร้อยละ 20)


-  Visibility (V) หมายถึง จำนวน external links ที่ได้รับ (inlinks) มีการเชื่อมโยงหรืออ้างอิงมาจากภายนอก สืบค้นโดยใช้ search engines เช่น Yahoo และใช้ syntax ในการค้น เช่น site:rmutp.ac.th,  link:rmutp.ac.th, domain:rmutp.ac.th (น้ำหนักร้อยละ 50)


-  Rich Files (R) หมายถึง จำนวนแฟ้มข้อมูล หรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้งหมดที่อยู่ภายใน domain เดียวกัน ในรูปของ Acrobat (pdf), PostScript (ps), MS Word (doc), MS Powerpoint (ppt), MS Excel (xls) (น้ำหนักร้อยละ 15)


-  Scholar (Sc) หมายถึง จำนวนบทความวิชาการ และการอ้างอิงบทความทางวิชาการ ที่ปรากฎภายใน domain ของมหาวิทยาลัย และสามารถสืบค้นได้ด้วย google scholar  (น้ำหนักร้อยละ 15)


ที่มา : http://kmblog.rmutp.ac.th/nivat.j/category

ซอฟแวร์พัฒนา IR เป็นฐานข้อมูลหนึ่งที่ใช้เก็บข้อมูลวิชาการ


ePrints  


       ePrint เป็นบริการที่เพิ่งให้บริการมาไม่นาน ตอนนี้มันยังแทบไม่มีความสามารถอะไร เช่นไม่สามารถควบคุมหน้าที่เราจะพิมพ์, กำหนดจำนวนชุดสำเนา, หรือการบังคับให้พิมพ์ขาวดำในเอกสารสี เรื่องนี้ทาง HP สัญญาว่าจะมีการเพิ่มความสามารถในอนาคต แต่ต้องทำใจว่ามันจะไม่เท่ากับไดร์เวอร์เครื่องพิมพ์บนพีซีแน่ๆ
       ข้อเสียหลักๆ ของ ePrint คือ การทำงานช้าเพราะต้องอัพโหลดงานขึ้นเว็บแล้วค่อยส่งกลับลงพรินเตอร์, งานทั้งหมดที่จะผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ HP, และเราจะไม่รู้ว่างานที่เราสั่งไปพิมพ์สำเร็จจริงๆ หรือไม่ โดยเรื่องความช้านั้นคงแก้อะไรไม่ได้ ผมลองใช้งานดูพบว่ากว่าเครื่องพิมพ์จะเริ่มพิมพ์ก็ใช้เวลา 10-20 วินาทีต่องาน แต่คงต้องลองว่าอินเทอร์เน็ตในไทยจะต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ HP ได้เร็วแค่ไหน ส่วนเรื่องของงานนั้น HP จะเก็บงานของเราไว้บนเซิร์ฟเวอร์เป็นเวลา 24 ชั่วโมงจึงลบออกและเรื่องของการดูผลการพิมพ์นั้นก็ยังต้องรอคลาวน์ของ HP อัพเกรดกันต่อไปอีกครั้ง
   
DSpace
       โปรแกรม DSpace เป็นโอเพนซอร์สอีกโปรแกรมหนึ่งที่ใช้ในการจัดการคลังเก็บเอกสาร อิเล็กทรอนิกส์ คล้ายกับโปรแกรมอีพรินท์ (EPrints) แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถใช้เก็บเอกสาร และเผยแพร่สารสนเทศดิจิทัลขององค์กร รวมทั้งการเก็บสงวนรักษาเอกสารในระยะยาว
ดีสเปซ พัฒนาโดยห้องสมุดสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ และบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด มีวัตถุประสงค์ในการเก็บถาวร จึงสามารถรองรับแฟ้มข้อมูลที่มีความหลากหลาย เช่น บทความ ชุดข้อมูล (data sets) รูปภาพ แฟ้มข้อมูลเสียง (audio files) แฟ้มข้อมูลวิดีทัศน์ (video files) แฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ (computer files) และทรัพยากรสารสนเทศอื่นๆ ของห้องสมุด ดีสเปซเป็นโปรแกรมตัวแรกในการเก็บถาวรเว็บไซต์ โดยทำหน้าที่เก็บตัวของมันเอง (storage self-contained) เอกสารเอชทีเอ็มแอลที่เป็นประเภทคงที่ และดีสเปซยังเป็นสมาชิกในโครงการริเริ่มเก็บถาวรแบบเปิด (OAI-Open Archives Initiative) อีกด้วย และในปี ค.ศ. 2004 ดีสเปซได้ร่วมมือกับกูเกิล (Google) เพื่อให้ผู้ใช้กูเกิลสามารถสืบค้นข้ามมาที่คลังเก็บเอกสารของดีสเปซได้
       ดีสเปซ เป็นโปรแกรมที่เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมาก คือ การส่ง (submit) ผลงานจากหลายๆ หน่วยงานที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งเรียกว่า ชุมชน (community) โดยผู้ส่งผลงาน (submitters) จากหลายหน่วยงานในองค์กร ลงทะเบียนการส่ง ใส่เมทาดาทา ก่อนที่ผลงานจะถูกเก็บในคลังเอกสารจะต้องผ่านการประเมิน โดยผู้ประเมิน (reviewer) สามารถตีคืนผลงานที่พิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสม ผู้รับรอง (approver) เป็นผู้ตรวจสอบกระบวนการส่งผลงาน และมีบรรณธิกรณ์เมทาดาทา (metadata editor) เป็นผู้มีสิทธิในการแก้ไขเมทาดาทา
       ดีสเปซทำงานบน ระบบยูนิกซ์ หรือระบบปฏิบัติการประเภทลีนุกซ์ หรือโซรารีส ซึ่งต้องใช้โอเพนซอร์สตัวอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น อาปาเชเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Apache web server) หรือทอมแคท (Tomcat) จาวาคอมไพเลอร์ และโพสต์เกรสคิวแอล (PostgreSQL)
       จุดเด่นของดีสเปซอีกประการหนึ่งก็ คือ การรับประกันว่าข้อมูลจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปก็ตาม ดีสเปซเก็บรักษาข้อมูลโดยรูปแบบบิตสตรีมของแฟ้มข้อมูล (bitstream format registry) ถ้ารายการที่ส่งมารายการใดไม่อยู่ในรูปแบบที่กำหนดไว้ ผู้ดูแลระบบต้องตัดสินใจว่ารูปแบบนั้นควรถูกขึ้นทะเบียนเอาไว้หรือไม่ ซึ่งรูปแบบที่กำหนดไว้มี 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่  1 คือ supported หมายถึง รูปแบบแฟ้มข้อมูลที่มีการประกาศเป็นมาตรฐาน เช่น ทีฟ (TIFF) เอ็กซ์เอ็มแอล (XML) หรือรูปแบบของแฟ้มข้อมูลที่ผู้คิดค้นได้แจกแจงรายละเอียดรูปแบบของแฟ้ม ข้อมูลให้สาธารณชนรับรู้ เช่น พีดีเอฟ (PDF) ซึ่งจะได้รับการเก็บรักษาในระยะยาว รูปแบบที่ 2 คือ known หมายถึง รูปแบบแฟ้มข้อมูลที่มีการใช้กันในหมู่มาก แต่ผู้คิดค้นไม่ได้ประกาศให้สาธารณชนรับรู้ และรูปแบบที่ 3 คือ unsupported หมายถึง รูปแบบของแฟ้มข้อมูลที่ใช้กันน้อย เช่น แฟ้มข้อมูล CAD/CAM หรือแฟ้มข้อมูลที่เป็นโปรแกรม เป็นต้น

ติดตามศึกษาโปรแกรมเพิ่มเติมได้ที่ http://sourceforge.net/projects/dspace/

Drupal
       เป็นเฟรมเวิร์กสำหรับมอจูลในการสร้างเว็บไซต์และระบบจัดการเนื้อหาเว็บในลักษณะโอเพนซอร์ซเขียนขึ้นด้วยภาษาพีเอชพี โดยเริ่มพัฒนาใน พ.ศ. 2543 และกลายมาเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซในปี พ.ศ. 2544  ดรูปัลถูกใช้งานเป็นระบบเบื้องหลังของเว็บไซต์หลายเว็บทั่วโลก ตั้งแต่เว็บไซต์ขนาดเล็ก จนถึงเว็บไซต์หน่วยงานขนาดใหญ่ รวมถึงเว็บไซต์ราชการหลายแห่ง และได้รับรางวัลชนะเลิศซอฟต์แวร์ ระบบจัดการเนื้อหาเว็บยอดเยี่ยมแห่งปี ในปี 2550 และ 2551
       ดรูปัลมีการใช้งานในหลายเว็บไซต์ทั่วโลก ทั้งในเว็บไซต์ขนาดเล็กจนถึงเว็บไซต์ขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์รางวัลพูลิตเซอร์  (เว็บไซต์องค์กร) Popular Science (เว็บไซต์ข่าว)  Yahoo! Research (เว็บไซต์หน่วยงาน) Ubuntu.org (เว็บไซต์ชุมชน) MTV United Kingdom และ Sony Music (เว็บไซต์บันเทิง) มหาวิทยาลัยแอมเฮิรตซ์ (เว็บไซต์สถานศึกษา)  Recovery.org (เว็บไซต์หน่วยงานราชการ)  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (เว็บไซต์องค์กร) FukDuk (เว็บไซต์สถานีโทรทัศน์ออนไลน์ไทย) 

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปความรู้ที่ได้รับจากการสัมมนาเรื่อง สารสนเทศรูปแบบใหม่ ในวันที่ 23 กรกฏาคม 2554 โดยอาจารย์บุญเลิศ อรุณพิบูลย์


Library Trend
สารสนเทศรูปแบบใหม่


 
Trend ที่ 1 Cloud Computing
เป็นหัวข้อที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด ในการประชุมสัมมนาหัวข้อ "ห้องสมุด" และจะมีการยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเป็นประเด็นสำคัญ การบริการห้องสมุดในระดับประเทศ เช่น ในแถบเอเชียจะเปลี่ยนมาเป็น Cloud Computing ในการพูดถึงเรื่องนี้ในประเทศและต่างประเทศยังไม่แตกต่างกันมากนัก
ตัวอย่าง Cloud Computing เช่น Facebook, G-mail
ความหมายที่ 1 ที่ตั้ง
Cloud Computing  หมายถึง การทำงานที่เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของเนื้อหาที่เราจัดทำได้หรือว่าเราไม่ทราบ Server ว่าติดตั้งอยู่ที่ไหน เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า Cloud อะไรก็ตามที่เราทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วถูกประมวลผลด้วยระบบ Server ใหญ่ของโลก นั่นคือ Cloud
ความหมายที่ 2 กลุ่มก้อน
ทั้งนี้กลุ่มเมฆเปรียบเสมือน เครือข่ายอินเตอร์เน็ต กลุ่มเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้ามีการเชื่อมโยงกันเป็นผืนเมฆเดียวกันห่อหุ้มโลกใบนี้ไว้ เช่นเดียวกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมากหลายเครื่องจากทั่วทุกมุมโลกเป็นเครือข่ายใยแมงมุมขนาดใหญ่ 
แต่ระบบการทำงานแบบนี้หากระบบเกิดปัญหา หรือระบบล่ม นั่นจะหมายถึง ทั่วโลกจะไม่มามารถใช้ระบบใดๆ ผ่านทางเครือข่ายได้เช่นกัน ดังในกรณีที่เกิด Black April ขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา

Black April   คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2011 ในประเทศสหรัฐอเมริกา สร้างความวุ่นวายให้กับอุตสาหกรรมไอซีที เมื่อระบบล่ม ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดปัญหาด้วย รวมถึงประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบกับดาวเทียมไทยคมด้วยเช่นกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความสูญเสียกับข้อมูลบางส่วน ซึ่งบริษัทรายใหญ่ในอเมริกาคือ Amazon  เป็นบริษัทธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ได้ออกมาชี้แจงถึงปัญหาดังกล่าว และแสดงความรับผิดชอบ โดยความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้ดีที่สุดต่อไป สิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทันสมัยเพียงใดก็ไม่สามารถทำงานได้ ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้า อย่างที่เกิดเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่น สร้างความเสียหายต่อระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบก็ไม่สามารถทำงานได้ ในบางกรณีมีการนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาช่วยในเหตุอุทกภัยก็มีให้เห็นบ้างในบ้านเรา
OCLC (Online Computer Library Center) ----> Cloud Opac
       เป็นหน่วยงานความร่วมมือระหว่างห้องสมุดระดับโลก มีจำนวนสมาชิกเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ราว 75,000 แห่ง เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Dublin, USA และสำนักงานตัวแทนอีก 13 แห่ง ทั่วโลก มี Vision ว่า OCLC The World’s Libraries Connected คือจะเชื่อมโยงห้องสมุดต่าง ๆ ทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เปรียบเสมือนเป็นองค์กรสหประชาชาติ (ด้านห้องสมุด) มีการ Share Resource ร่วมกัน และวางแผนพัฒนาร่วมกันให้ user มีการใช้งาน และสามารถตอบโจทย์ของ user ได้บริการที่โดดเด่นของ OCLC คือ ด้าน Resource นับเป็นแหล่งข้อมูลห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก บ่งบอกได้ว่าห้องสมุดใดในโลกนี้ มีหนังสือเล่มนี้บ้าง สืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บ www.worldcat.org และนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีและการบริการในอีก 3 เรื่อง คือ

1. WorldCat Collection Analysis
ระะบบวิเคราะห์ทรัพยากรห้องสมุด เป็นระบบที่ช่วยวิเคราะห์ความเหมาะสมของทรัพยากรห้องสมุดว่าเพียงพอกับความต้องการใช้งาน มากน้อยแค่ไหน เพื่อบริหารงบประมาณการจัดหาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และปรับปรุง พัฒนา Resource ให้ได้มาตรฐานสากลวิธีการจัดหาทรัพยากรห้องสมุด โดยใช้เครื่องมือ WorldCat Collection Analysis ในการวิเคราะห์ มี 4 รูปแบบ คือ
1. อิงกับ Authoritative List ในสาขาวิชาต่าง ๆ
2. เปรียบเทียบ Collection กับห้องสมุดใดห้องสมุดหนึ่ง (Peer Comparison)
3. เปรียบเทียบกับ Predefined Group จัดลำดับ Top ในสาขาวิชาต่าง ๆ
4. เปรียบเทียบกับ Circulation การยืม-คืน

2. WorldCat Local
นับเป็น OPAC ยุคใหม่ และ Global Union Catalog สืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บ www.worldcat.org มีสมาชิกทั่วโลกราว 2 หมื่นกว่าแห่ง ที่นำข้อมูลขึ้น WorldCat ตลอดเวลาWorldCat Local เป็นการดึงความสามารถของ worldcat.org มาใช้งานกับห้องสมุดในระดับมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เป็นที่มาของการปลี่ยนแปลงรูปแบบ OPAC จากเดิม ที่ให้ข้อมูลเฉพาะห้องสมุดมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเท่านั้น โดยไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้เพียงพอ เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้ใช้บริการเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับมีแหล่งข้อมูลและเทคโนโลยีต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ห้องสมุดต้องปรับตัวเอง ให้ผู้ใช้ยังคงใช้บริการ OPAC ของห้องสมุดอยู่ เพียงแต่เพิ่มเติมข้อมูลหรือแหล่งข้อมุลใน OPAC ให้มากขึ้น คือ ค้นที่นี่ที่เดียว ครั้งเดียว ผู้ใช้บริการก็ได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้ว เหมือนเป็น One Search / Single search / Federated search  ห้องสมุดมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ใช้ WorldCat Local เช่น MIT, Cornell, UCLA   สำหรับประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยมหิดลกำลังสนใจอยู่

3. ContentDM การทำ Digitization
ContentDM เป็น Software บริหารจัดการ Digital Content ซึ่ง OCLC ใช้เวลาพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็น Version 5 วิทยากรแสดงตัวอย่างให้ดู หลัก ๆ คือ ต้องมีการติดตั้ง Server เพื่อเก็บ Content และเครื่อง Client ในการทำงานของผู้ใช้บริการ โปรแกรมนี้มีจุดเด่น คือ เอกสาร PDF สามารถแปลงเป็น Text file และ สืบค้นได้

โดยสรุป งานนี้เเป็นการติดตามความก้าวหน้าเทคโนโลยีในวงการห้องสมุดระดับสากล หน่วยงานใดที่มีความพร้อมและสนใจก็สามารถติดต่อบริษัทผู้แทน OCLC ได้ สำหรับราคาหรือค่าใช้จ่ายในการบอกรับหรือใช้บริการ ไม่มีการกล่าวถึงเลย และไม่มีใครสอบถามด้วย แต่คิดว่าราคาคงสูงพอสมควรเช่นกัน

ที่มา : http://www.stks.or.th/blog/?p=7960

Cloud Service แยกตามประเภทผู้ใช้

1. Cloud ระดับองค์กร ...Cloud Library
2. Cloud ระดับบุคคล/ระดับบริการ Gmail, FB, Meebo, Hotmail, yahoo
3. Could ผสมผสาน   (รูปแบบผสมของระดับองค์กรและระดับบุคคล) ส่วนมากจะเป็นประเภทนี้

Dropbox
       Dropbox เป็นเครื่องมือที่ทำให้คุณสามารถ เรียกใช้ ไฟล์งานต่างๆ ของคุณ ได้ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่แห่งไหน ใช้คอมพิวเตอร์ Notebook, PC หรือ มือถือ คุณก็สามารถเข้าถึงไฟล์งานของคุณได้อย่างง่ายดาย และตรงกันเสมอ ไม่ว่าจะมีการเพิ่ม ลด แก้ไข ไฟล์ใดๆ ใน Folder ของ Dropbox

Dropbox มีข้อดีต่างๆ มากมาย ที่ช่วยให้ชีวิตประจำวัน หรือการทำงานของคุณสะดวกยิ่งขึ้น ดังนี้

1.  Dropbox จะทำไฟล์ใน Folder Dropbox ให้ ‘ตรงกันเสมอ’ (Synchronize) โดยมีพื้นที่ฟรีให้มากถึง 2GB และใช้ได้ทั้งบน Windows, Mac, Linux, มือถือ และ Web-based. ไม่ว่าไฟล์ๆ นั้น จะถูกแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อใด Dropbox จะรู้และ Update ให้กับเครื่องอื่นๆ อัตโนมัติทันที

2.  แชร์โฟลเดอร์ต่างๆ ให้กับคนอื่นๆ เพื่อให้ "ทำงานร่วมกันได้" (Collaboration) นอกจากนี้ ยังสร้าง Public Link ให้ผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย

3.  Dropbox ทำให้คุณหมดห่วงเรื่อง สำรองข้อมูล เพราะ Dropbox ทำให้คุณอย่างอัตโนมัติโดยคุณไม่ต้องกังวลใดๆ เลย

4.  ไฟล์อีกชุดนึง จะเก็บไว้บน Internet เพื่อให้คุณเข้าถึงไฟล์ได้ทุกสถานที่ ที่ Internet สามารถเชื่อมต่อได้ และมีความปลอดภัยสูง


ที่มา : http://www.mapleday.com/dropbox


Cloud Service แยกตามการใช้บริการ                                   


1.  Public cloud –cloud ที่เป็นการให้บริการแบบสารธารณะ เช่น facebook
2.  Private cloud– cloud ส่วนบุคคล โดยวัตถุประสงค์ คือ การซื้อมาใช้เฉพาะกลุ่มหรือในองค์กรเท่านั้น 
3.  Hybrid cloud 


Cloud Service  แยกตามประเภทของเทคโนโลยี


SaaS – Software as a service

       SaaS ความหมายของ SaaS ก็คือ ซอฟต์แวร์แอพพลิเคชันบนเว็บที่ผู้ใช้สามารถเรียกใช้บริการได้ โดยแอพพลิเคชันพวกนี้จะไม่ถูกจัดเก็บเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มันไม่ได้ใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ของเรานั่นเอง ที่สำคัญเราสามารถเรียกใช้งานมันเมื่อไรก็ได้ในขณะที่เราเชื่อมต่อเน็ต ซึ่งทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกมาก ตัวอย่าง SaaS ก็เช่น แอพพลิเคชัน Windows Internet Security Center ที่เปิดให้บริการใน Windows Live เป็นต้น เช่น www.zoho.com   http://www.docs.google.com/

IaaS – Infrastructure as a service

       การให้บริการกลุ่มเมฆประเภท Infrastructure-as-a-Service นั้นเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานของระบบมาสร้างเป็นบริการ เช่น หน่วยประมวลผล (Processing Unit) เครือข่ายข้อมูล (Network) หรือระบบเก็บข้อมูล (Storage) ผู้ใช้บริการจะสามารถเช่าเวลาในการประมวลผล ซื้อเวลาและขนาดของ ช่องสัญญาณในการส่งข้อมูล หรือขนาดของพื้นที่เก็บข้อมูลจากผู้ให้บริการได้ แต่การเช่าโครงสร้างพื้นฐานในระบบกลุ่มเมฆนี้แตกต่างจากการเช่าพื้นที่แบบเก่า (เช่นการเช่าพื้นที่เพื่อทำเว็บไซต์)

PaaS – Platform as a service

       Platform-as-a-Service ซึ่งให้บริการด้านสภาพแวดล้อมในการพัฒนาโปรแกรม (Development Environment) โดยผู้รับบริการสามารถพัฒนาโปรแกรมระบบและนำออกมาใช้ผ่านกลุ่มเมฆได้ ตัวอย่างที่สำคัญได้แก่ Google Apps TYPE ซึ่งผู้รับบริการสามารถสร้างโปรแกรมประยุกต์ประเภท Web Application ผ่าน Apps TYPE ได้เลย โดยใช้ภาษา Python หรือ Java ทาง Google จะมี API ให้ในการเรียกใช้บริการของ Google อื่นๆ รวมไปถึงฐานข้อมูลซึ่งอยู่ในกลุ่มเมฆด้วย ผู้รับบริการยังสามารถนำโปรแกรม ที่พัฒนาแล้วออกมาใช้ผ่านระบบกลุ่มเมฆของ Google อีกด้วย บริการประเภทนี้เป็นที่สนใจมาก เพราะอาจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและดูแลระบบสารสนเทศขององค์กรอย่างเห็น ได้ชัด

Trend ที่ 2 Mobile Dervice 


         เป็น Trend ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาถึง 5 ปี ในแง่ของการผลิต ผู้ผลิตต้องสำรวจความต้องการของผู้ใช้ หรือสำรวจสื่อที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ผ่านมือถือได้ โดยการสำรวจจากสถิติการใช้เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เว็บไซต์ที่สามารถใช้เพื่อสำรวจสถิติได้แก่   www.truehits.net   Mobile Device อุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถพกพาได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่อง PDA และ

Trend ที่ 3 Digital Content & Publishing

        คือ  สารสนเทศที่มีรูปแบบดิจิทัล โดยอาศัยสื่อหรือการแสดงเนื้อหาผ่านทางอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ เช่นคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร หรือแม้แต่โทรทัศน์ หรือโรงภาพยนต์ ซึ่งปัจจุบันใช้ระบบดิจิทัลเป็นหลัก เช่น ebook, IR, Digital library, OJS เป็นต้น ในต่างประเทศนำไปใช้ในการแก้ปัญหาเรื่องการลดปริมาณงบประมาณในการจัดซื้อสารสนเทศ โดยการสร้างวารสารขึ้นเอง และงดรับซื้อวารสารออนไลน์ทุกชนิด  ทำให้เกิดการสนับสนุนบุคลากรภายในองค์กรให้แสดงศักยภาพหรือความสามารถของตนเอง เป็นการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน โดยความร่วมมือระหว่างคณาจารย์ที่มีความสามารถ ช่วยประหยัดงบประมาณ และที่สำคัญแก้ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ได้ดีอีกด้วย  

 ebook


        หนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ที่อ่านสามารถ อ่านผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรืออุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่น ๆ ได้ สำหรับหนังสือ หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ จะมีความหมาย รวมถึงเนื้อหา ที่ถูกดัดแปลง อยู่ในรูปแบบที่สามารถแสดงผลออกมาได้ โดยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ มีลักษณะการ นำเสนอ สอดคล้อง และคล้ายคลึงกับ การอ่านหนังสือทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่จะมี ลักษณะพิเศษ คือ สะดวกและรวดเร็ว ในการค้นหา และผู้อ่าน สามารถอ่าน พร้อม ๆ กันได้โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายส่งคืนห้องสมุด เช่นเดียวกับหนังสือในห้องสมุดทั่วไป

การทำ E-book ให้มุ่งความสำคัญไปที่ 3 ส่วนคือ

1.  การได้มาของเนื้อหา
2.  กระบวนการผลิต และรูปแบบ โดยการวางแผนการผลิตก่อน และต้องสำรวจความต้องการของผู้ใช้ก่อนเสมอว่ารูปแบบใดบ้างที่เป็นที่นิยมใช้ปัจจุบัน เช่น PDF, Flat เป็นต้น
3.  ต้นฉบับ ลิขสิทธิ์ และการเผยแพร่

รูปแบบไฟล์ของ eBook เช่น
.doc – typing on MS word 
.pdf
 Flip eBook เป็นไฟล์ที่ไม่สามารถขึ้นโชว์บนเว็บไซต์ได้ แต่แสดงออกมาในรูปแบบของ Album     
 Flash Flip eBook สามารถแสดงผลบนเว็บไซต์ได้เลย
 ePublishing- รูปแบบของสิ่งพิมพ์ที่เป็นโปสเตอร์ แผ่นพับ หรือลักษณะของอิเล็กทรอนิกส์
.ePub
 Digital Multimedia Book

Trend ที่  Crosswalk   Metadata 

คือ กลุ่มของเมตาดาต้ามากกว่า 1 ประเภท ซึ่งในปัจจุบันเมตาดาต้าได้มีการผสมผสานกันเกือบทั้งหมด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับเมตาดาต้าให้มากที่สุด ตัวอย่างของเมตาดาต้า เช่น
MARC,   MARCML- New of library ข้อแตกต่างกับ MARC คือไม่มีพวก Subfield 
Dublin Core
ISAD (g) มาตรฐานสำหรับกลุ่มผู้ที่จัดทำจดหมายเหตุแบบดิจิตอล เช่นที่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
CDWA สำหรับงานพิพิธภัณฑ์
RDF, OWL
MODs, METs  คล้ายกับ DC แต่มี element มากกว่า ใช้ในการทำดิจิตอลคอลเล็กชั่นส์
PDF Metadata, Doc Metadata สำหรับงานในมหาวิทยาลัย
EXIF, XMP ใช้สำหรับงานที่เกี่ยวกับรูปถ่าย,รูปภาพ digital ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักข่าว

  
Trend ที่ 5 Open Technology

       Technology ที่เป็น open technology เช่น Facebook Twitter, YouTube เพราะ technology เหล่านี้ ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ Mechanism ที่เป็น open mechanism คือกลไลแบบเปิดที่ทุกคนเข้าถึงได้



วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปเนื้อหาวิชา การบริการสารสนเทศ (707) วันที่ 17 กรกฎาคม 2554


บริการสอนการใช้ (Instruction Service)

บริการอ้างอิงและสารสนเทศ
เป็นบริการหลักของห้องสมุด เป็นงานติดต่อกับผู้ใช้ห้องสมุดโดยตรง บรรณารักษ์เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้ห้องสมุด (Library Users) กับทรัพยากรสารสนเทศ (Library Resources)
ความสำคัญของงานบริการสารอ้างอิงและสารสนเทศ
1.  ช่วยให้ห้องสมุดให้บริการตรงกับความต้องการของผู้ใช้อย่างแท้จริง
2.  ช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรของห้องสมุดเพิ่มขึ้น
3.  ช่วยทุ่นเวลาผู้ใช้ห้องสมุด
4.  ช่วยให้ห้องสมุดมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ใช้ห้องสมุด
5.  ช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดมองเห็นความสำคัญของห้องสมุดในฐานะที่เป็นคลังแห่งวิทยาการอย่างแท้จริง (วิสิทธิ์ จินตวงศ์ 5521 : 8-11)

งานบริการอ้างอิงและสารสนเทศ ได้แก่
1.  งานบริการสารสนเทศ (Information Services) ตอบคำถามหรือแสวงหาข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ
2.  งานบริการสอนการใช้ (Instruction Services) สอนผู้ใช้ในการค้นคว้า และการใช้เครื่องมือค้นได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็น บัตรรายการ หนังสืออ้างอิง การสืบค้นออนไลน์  การบริการสอนการใช้จะมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ใช้มีการรู้สารสนเทศ (information literacy skills)
3.  บริการแนะนำ (Guidance Services) จะเน้นการให้ความช่วยเหลือในขณะสืบค้น

สมาคมห้องสมุดอเมริกันได้กำหนดไว้คือ
"หน้าที่ของห้องสมุดทุกประเภทคือต้องจัดการให้ผู้ใช้มีโอกาสเข้าใจในระบบการจัดการสารสนเทศ...การแนะนำการใช้ห้องสมุดถือเป็นหลักการแรกในการให้บริการ"

ปร้ชญาการบริการ
ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ด้วยตนเอง เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)


บริการสอนการรู้สารสนเทศ
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ (ชุติมา สัจจานนท์, 2550)
1.  การสอนการรู้สารสนเทศอย่างไม่เป็นทางการ (Information Instruction) ได้แก่ การนำชมห้องสมุด (Library tours) การปฐมนิเทศห้องสมุด (Library oriention) การสอนทางบรรณานุกรม (Bibliographic instruction) การสอนห้องสมุด วิจัยห้องสมุด (Library research courses) การฝึกอบรมผู้ใช้ (User training) การสอนทักษะห้องสมุด (Library skills instruction)
2.  การสอนการรู้สารสนเทศอย่างเป็นทางการ (Formal Instruction) ได้แก่ การสอนเป็นรายวิชาโดยเฉพาะ โดยพัฒนามาจากการสอนวิชาการใช้ห้องสมุดหรือการสอนเรื่องบรรณานุกรม ซึ่งต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อวิชา เช่น การใช้สารสนเทศ ทักษะสารสนเทศ การค้นคว้าและเขียนรายงาน สารสนเทศกับการศึกษาค้นคว้า เทคโนโลยีสารสนเทศกับการค้นคว้า และการสอนแบบบูรณาการทักษะสารสนเทศในหลักสูตรระดับต่างๆ และในรายวิชาต่างๆ ในระดับอุดมศึกษา  
เช่น ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและค้นคว้า วิชาการวิจัย วิชาทักษะชีวิต เป็นต้น ส่วนใหญ่ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา การสอนแบบบูรณาการอยู่ในเนื้อหาวิชาต่างๆ เช่น ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ เป็นต้น

การรู้สารสนเทศ (Information Literacy)

การรู้สารสนเทศ (Information Literacy) หมายถึง ความรู้และความสามารถของบุคคลในการระบุความต้องการสารสนเทศของตนเอง สามารถค้นหา ประเมินคุณค่าและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (AIA : American Library Association) ส่วนความจำเป็นที่จะต้องรู้สารสนเทศเนื่องจากปัจจัยหลัก 2 ข้อคือ
1.  การทะลักทะลายของสารสนเทศ (Information explosion) ทั้งจากจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น และรูปแบบที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในรูปแบบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ บวกกับการเกิดขึ้นของศาสตร์แขนงใหม่ๆ
2.  ความเจริญรุดหน้าของ ICT ซึ่งทำให้การรวบรวม จัดเก็บ และเผยแพร่สารสนเทศ เพิ่มจำนวนมากขึ้น และขยายไปทั่วทุกมุมโลก รวมถึงมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น

ความสำคัญของ Information Literacy
การรู้สารสนเทศมีความจำเป็นต่อการสร้างสังคมสารสนเทศ และสังคมความรู้ ด้วยเหตุผลและปัจจัยที่สำคัญดังนี้
-  สารสนเทศ เป็นทรัพยากรหลักในสังคมและถือเป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจ สารสนเทศที่มีในปัจจุบัน 295 exabytes (พันล้านกิกะไบต์)
มีจำนวนมากกว่า 315 เท่าของเม็ดทรายที่มีในโลก
-  อินเทอร์เน็ต เป็นขุมทรัพย์ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร เปรียบเป็นห้องสมุดโลก ก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ที่เปิดกว้างในเรื่องของข่าวสาร สารสนเทศ ความรู้ ความคิดเห็น ความร่วมมือ การวิพากษ์ วิจารณ์ เสรีภาพในการพูด การสื่อสาร เป็นต้น

นงเยาว์ เปรมกมลเนตร กล่าวว่า
"การรู้สารสนเทศ (Information Literacy : IL) เป็นประเด็นที่บรรณารักษ์และบุคคลในวิชาชีพสารสนเทศให้ความสนใจตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 เนื่องจากพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ และตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมา บรรณารักษ์ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากขึ้น และมีการศึกษาวิจัยในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย มีประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ให้ความสนใจกับเรื่อง "การรู้สารสนเทศ" มากกว่าประเทศอื่นๆ และมีหลายหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้ ซึ่งส่วนมากเป็นสมาคมทางด้านห้องสมุดและสมาคมทางด้านเทคโนโลยี เช่น สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (ALA) สมาคมห้องสมุดวิทยาลัยและวิจัยแห่งสหรัฐอเมริกา (ACRL) สมาคมเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ISTE) โดยมีการยอมรับว่า การรู้สารสนเทศเป็นทักษะที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21" 
   
พัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
-  การเพิ่มขึ้นของสารสนเทศเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้สารสนเทศ  รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้สารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศ  ทำให้บุคคลต้องเผชิญกับทางเลือกสารสนเทศที่หลากหลายและมากมาย
-  จึงมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับประเมิน เลือก และสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มทักษะใหม่ เช่น ทักษะในการแสวงหา  การเข้าถึงสารสนเทศ

บริการ International Roaming (IR) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า บริการโทรข้ามแดนอัตโนมัติ คือบริการที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ สามารถนำโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม หมายเลขเดิม ที่ใช้อยู่ที่เมืองไทย ไปใช้โทรออก หรือรับสายโทรเข้า ในต่างประเทศได้ แทบจะทุกประเทศที่สำคัญๆ ทั่วโลกเลยทีเดียว 
รูปที่ 1 แสดงภาพ International Roaming (IR)

Journal Database ฐานข้อมูลวารสารออนไลน์


รูปที่ 2 แสดงภาพ Journal Database

เสิร์ชเอนจิน (Search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อมความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟแวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสัคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อๆ ไป เสิร์ชเอนจินได้แก่
- กูเกิล (Google) 
- ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search)
- เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) นอกจากนี้ ยังมีเว็บอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
- เอโอแอล (AOL Search)
- อาร์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu) เสิร์ชเอนจินอันดับ 1 ของประเทศจีน



รูปที่ 3 แสดงภาพ เสิร์ชเอนจิน (Search engine)

E - paper
กระดาษอิเล็กทรอนิกส์ (ePaper) หรือ Electronic Paper Display (EPD) มีลักษณะคล้ายจอแสดงผลแบบ LCD แต่มีความยีดหยุ่นและบางกว่า แต่ที่นิยมใช้ในจอแสดงผลใน e-Reader คือ เทคโนโลยีหมึกอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e- Ink
รูปที่ 4  แสดงภาพ E- paper

Amazon Kindle
เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ออกแบบมาเพื่อการอ่านหนังสือเป็นหลักนวัตกรรมที่โดดเด่นที่สุดของ Kindle คือจอภาพแบบ [W:e-Ink] ซึ่งคิดโดยสถาบัน MIT ไม่ใช่จอแบบ back-lit เหมือนอย่างจอ LCD ทำให้ไม่เกิดปัญหา eye straint เวลาที่เรามองนานๆ 


รูปที่ 5  แสดงภาพ Amazon Kindle

Barnes and Noble - Nook
เครื่องอ่านอีบุ๊คแท็บเล็ต วัตถุประสงค์หลักของ Nookcolor คือเป็นเครื่องอ่านหนังสืออิเล็คโทรนิคของร้าน Barnes & Noble มีโปรแกรมอำนวยความสะดวกในการอ่าน, คั่นหน้าหนังสือ, ซื้อและชำระเงินค่าหนังสือ
รูปที่ 6 แสดงภาพ Barnes and Noble - Nook

Skiff Reader 
เครื่องอ่านอิเล็คทรอนิกส์ตัวต้นแบบจาก Skiff มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เพราะสามารถงอได้ ทั้งยังมีสีสัน พร้อมทั้งเลย์เอาท์ตามแบบในนิตยสาร

รูปที่ 7 แสดงภาพ  Skiff Reader 
การปฎิรูปการศึกษา
การเรียนรู้ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศจะไม่จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียนและครู การเรียนการสอนแบบดั่งเดิมจะลดน้อยลง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนจะเปลี่ยนแปลงไปเกิดกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ และเป็นตัวนำในการสร้างบริษัทใหม่จึงจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างระบบพัฒนา องค์ความรู้ใหม่จากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่โดยเฉพาะองค์กรการพัฒนาการเรียน การ สอน และสภาพแวดล้อมทางการศึกษา
ICT 2020
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กำหนดทักษะ 3 ประการในแผนพัฒนาทุนมนุษย์ คือ
1.  ทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่่อสาร(ICT Literacy)
2.  การรอบรุ้ การเข้าถึง และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ หรือมีทักษะการรู้สารสนเทศ (Information Literacy) ร้อยละ 75 
3.  การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy)



วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สรุปเนื้อหา วิชาการบริการสารสนเทศ (707) วันที่ 10 กรกฏาคม 2554


บัตรสมาชิกห้องสมุด
ประเภทของบัตรสมาชิกห้องสมุด
1.  บัตรพลาสติก
2.  บัตรติดแถบแม่เหล็ก (Magnetic stripe) ได้แก่
     2.1  บัตรที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน (Non Financial Related Card) เป็นบัตรที่มีการใช้อย่างกว้างขวาง เช่น บัตรสมาชิก บัตรเข้า - ออกสถานที่ ใบจอดรถ  บัตรเก็บข้อมูล เป็นต้น
     2.2  บัตรที่เกี่ยวกับการเงิน (Financial Related Card) การใช้งานจะประกอบด้วยระบบการป้องกันระดับสูง  มีการเข้ารหัสการใช้งานเช่น บัตรธนาคารเบิกเงินสด
3.  บัตรติดรหัสแถบ (Bar Code)
4.  บัตรติดชิพ หรือบัตรอัจฉริยะ (Smart Card or Chip Card) ได้แก่
     4.1  บัตรทำงานแบบสัมผัส (Contact Card) บัตรนี้การทำงานต้องนำตัวชิพที่ด้านหน้าบัตรเข้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออ่านค่า
     4.2  บัตรทำงานแบบไม่สัมผัส (Contactless Card)
     4.3  บัตรทำงานแบบผสม (Dual Interface Card)

งานบริการตอบคำถาม
(Repliesto Inquiries Service)

ปรัชญาการบริการ
-  ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการ
-  ความต้องการสารสนเทศเฉพาะบุคคล
-  ผู้ใช้ได้มาซึ่งสารสนเทศอย่างรวดเร็ว

ความสำคัญของการบริการอ้างอิงและสารสนเทศ
1.  ช่วยให้บริการตรงกับความต้องการของผู้ใช้
2.  สนับสนุนการใช้ห้องสมุด
3.  ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างห้องสมุดและผู้ใช้

หน้าที่
1.  แสวงหาสารสนเทศสำหรับคำถามที่มีความต้องการเฉพาะทาง
2.  ช่วยเหลือให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสารสนเทศได้ด้วยตนเอง
3.  สอนผู้ใช้ให้สามารถใช้ทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด และทำการค้นคว้า

วิธี (ระดับ) การบริการ
-  ห้องสมุดเฉพาะ  ตอบคำถามอย่างรวดเร็ว (ได้สารสนเทศที่ต้องการ)
-  ห้องสมุดโรงเรียน สอนการใช้
-  ห้องสมุดประชาชน ช่วยหาสารสนเทศที่ต้องการ พัฒนาทักษะการสืบค้น
-  ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ตอบคำถามอย่างรวดเร็ว ช่วยค้นสารสนเทศที่ต้องการ สอนการใช้ห้องสมุด (ทักษะการสืบค้น)

งานบริการตอบคำถาม
(Repliesto Inquiries Service)

      บริการช่วยให้ผู้ใช้ได้ข้อมูล และสารสนเทศเฉพาะตามต้องการ โดยมีบรรณารักษ์อ้างอิง บริการที่โต๊ะบริการตอบคำถาม

ประเภทของคำถามอ้างอิง
1.  คำถามโดยตรงหรือข้อแนะนำ (Directional Question)
2.  คำถามที่ต้องการข้อเท็จจริง (Ready Reference Question)
3.  คำถามที่ต้องการค้นคว้าข้อเท็จจริง (Specific Search Question)
4.  คำถามที่ต้องการอาศัยการค้นคว้าวิจัย (Research Question)

ประเภทของการบริการ
1.  บริการโดยตรง (Direct reference service)
     บริการที่บรรณารักษ์ออกไปบริการตอบคำถามแก่ผู้ใช้โดยตรง รวมถึงการให้บริการสอนการใช้ห้องสมุด  โดยบรรณารักษ์ช่วยผู้ใช้เป็นบุคคลในการสืบค้น
2.  บริการทางอ้อม (Indirect reference service)
     เป็นงานเตรียมดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการบริการอาทิ 
     1.  การเลือกและการจัดหา
     2.  การบริหารและการจัดดำเนินการ
     3.  การจัดหาวิธีทาง (Access) เตรียมหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์
     4.  การประชาสัมพันธ์
     5.  การประเมินผล
     6.  หน้าที่อื่นๆ

งานบริการตอบคำถาม
(Repliesto Inquiries Service)


แบบเดิม
-  บริการที่โต๊ะบริการ
-  บริการทางจดหมาย
-  บริการทางโทรศัพท์
-  บริการทางโทรสาร

New reference service models
-  Reconfiguring Reference Desks ปรับรูปแบบ
   * No Reference Desk ไม่มีโต๊ะบริการ
   * Consolidating
-  Tiered Reference

บริการสมัยใหม่


Asynchronous digital reference
1.  บริการอีเมลล์ ผ่าน Computer หรือ Mobile Service
-  E-mail
-  Web Form
Synchronous digital reference communicate in real time
2.  บริการ Chart
-  Basic chat
-  IM Voice, Skype, Video Conference
-  Web Call Center
3.  ความร่วมมือ
บริการ Chat, IM, Web Call

IM และบริการยืม - คืน

-  Second Life

คือ โลกเสมือนจริง 3 มิติ ที่ถูกสร้างโดยผู้เล่นเอง ผู้เล่นนั้นสามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ สามารถสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น ตึกอาคาร ยานพาหนะ เครื่องผ้า จนไปถึงของชิ้นเล็กๆ ผู้เล่นสามารถใส่จินตนาการสร้างอะไรก็ได้ที่ Second Life มากกว่านั้นแล้ว ของแต่ละอย่างรวมถึงตัวผู้เล่นหรือร่างสมมติ (Avatar) สามารถใส่ Script ลงไปเพื่อสร้างลักษณะต่างๆ ได้ เช่น มือถือก็ใส่ Script ให้โทรได้ บอลลูนก็ใส่ Script ให้ลอยได้ ร่างสมมติ (Avatar) ก็ใส่ Script ให้บินสูงเท่าไหร่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม Second Life ไม่ได้ถูกตัดขาดจากโลกเราเลย มันถูกเชื่อมต่อกัน ธุรกิจที่มีชื่อเสียงมากมายเข้าไปอยู่ในโลก Second Life เพื่อโปรโมตสินค้าใหม่ จัดนิทรรศการ รวมถึงทำงานประจำวันกันในโลกนั้น 

-  Collaborative Networks

ความร่วมมือกันภายในเครือข่าย หรือเรียกว่า "ร่วมกันทำงาน" เพื่อความแพร่หลายและไม่เฉพาะเจาะจงไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยช่องทางที่จัดอยู่ในประเภทนี้ก็อย่างเช่น Wikipedia และ Google เป็นต้น ซึ่งเราสามารถใช่เพื่อค้นหาข้อมูลได้เยอะแยะมากมายทุกเรื่อง

-  Question Point
เป็นโครงการวิจัย / พัฒนาระหว่าง LC (Library of Congress) และ OCLC (Online Computer Library Center) สำหรับบทบาท Question Point กับงานห้องสมุดนั้นถือว่าเป็นงานบริการเชิงรุกที่คณะทำงานฝ่ายบริการสารนิเทศ กำลังศึกษาข้อมูลและทดลองใช้ เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยมีระบบที่จะรองรับงานบริการของห้องสมุด ได้แก่
-  มีฟังก์ชันให้บรรณารักษ์ตอบ ติดตาม และจัดการกับคำถามทางอินเตอร์เน็ต
-  เพิ่มประสิทธิภาพและขยายเวลาจัดให้บริการโดยไม่ต้องเพิ่มบรรณารักษ์
-  มีการรายงานและติดตามผลได้ทั้งในแง่ผู้ใช้ และผู้ให้บริการ
-  ผู้ใช้เข้าถึงได้ไม่จำกัดจากทุกที่ ทุกเวลา
-  ทำงานร่วมกัน เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มระดับประเทศ และทั่วโลก

-  24/7 Reference Service, 24/7 Reference Cooperative

"บริการ 24/7" นั้นหมายความว่า "twenty-four hours a day, seven days a week" "ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์" นั่นคือ "all the time" หรือหมายความว่า "ตลอดเวลา" นั่นเอง